“Staking” และ “Lending”: การฝากและรับผลตอบแทนจากคริปโต


สำหรับคริปโตในปัจจุบันเรียกว่าสามารถทำได้แทบจะทุกอย่างเลยล่ะครับ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการ “Staking” และ “Lending” ของคริปโตกัน

 

เพราะคริปโตบางตัวอย่าง ETH ก็สามารถให้ผลตอบแทนเหมือนกับพันธบัตรรัฐบาลที่เป็น Risk free ได้เลยครับ เผอลๆอาจจะได้ผลตอบแทนที่เยอะกว่าด้วยซ้ำไปถ้าราคายังขึ้นไปเรื่อยๆครับ


ใครที่ยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ แนะนำให้เริ่มจากบทความนี้ก่อนได้เลยครับ เผลอๆอาจจะถูกหวยไวในชีวิตเลยก็ได้จากวงการนี้ครับ

ทำความเข้าใจการฝากและรับผลตอบแทนจากคริปโต

Staking (การวางเดิมพัน)

Staking คือ การนำเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีของผู้ใช้งานไป ล็อก (Lock) ไว้ในกระเป๋าสตางค์ดิจิทัล หรือบนแพลตฟอร์ม เพื่อช่วย ตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม บนเครือข่ายบล็อกเชนที่ใช้ระบบ Proof-of-Stake (PoS)

หลักการทำงาน

  • วัตถุประสงค์: เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัย (Security) และการดำเนินงาน (Operation) ของเครือข่ายบล็อกเชน
  • กลไก: เครือข่ายจะเลือกผู้ตรวจสอบ (Validator Node) เพื่อสร้างบล็อกใหม่ตามจำนวนเหรียญที่ถูก Stake ไว้ ยิ่ง Stake มาก โอกาสถูกเลือกยิ่งสูง
  • ผลตอบแทน: ผู้ที่ Stake จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของ เหรียญใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น (Inflationary Reward) และ/หรือ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Transaction Fees) ซึ่งเป็นการจูงใจให้ผู้คนเข้าร่วมรักษาสภาพของเครือข่าย

ลักษณะสำคัญ

  • ความผูกพันกับเครือข่าย: ผู้ Stake เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชนโดยตรง

ระยะเวลาล็อกเหรียญ (Lock-up Period): มักจะมีกำหนดระยะเวลาที่เหรียญจะถูกล็อกไว้ (Unstaking Period) ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ทำให้ สภาพคล่อง (Liquidity) ลดลง

Lending (การให้กู้ยืม)

Lending คือ การนำเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีของผู้ใช้งานไป ปล่อยกู้ ให้กับผู้กู้ยืมรายอื่น ๆ เพื่อแลกกับ ดอกเบี้ย (Interest) คล้ายกับการฝากเงินในธนาคาร แต่ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มคริปโต

หลักการทำงาน

  • วัตถุประสงค์: เพื่อสร้างสภาพคล่อง (Liquidity) ให้กับตลาดการกู้ยืม (Borrowing)
  • กลไก:
    • แบบรวมศูนย์ (CEX/CeFi): ผู้ใช้ฝากเหรียญกับแพลตฟอร์มตัวกลาง (Centralized Exchange) ซึ่งจะนำไปปล่อยกู้ต่อ (อาจเป็นการกู้ที่มีหลักประกันหรือไม่ก็ได้)
    • แบบกระจายศูนย์ (DeFi): ผู้ใช้ฝากเหรียญเข้าสู่ Pool สภาพคล่อง (Liquidity Pool) ที่ถูกควบคุมโดย สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ผู้กู้ยืมจะวางหลักประกัน (Collateral) ไว้มากกว่ามูลค่าที่กู้ยืมเสมอ (Over-collateralized)
  • ผลตอบแทน: ผู้ปล่อยกู้จะได้รับ ดอกเบี้ย ที่จ่ายโดยผู้กู้ยืม ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด

ลักษณะสำคัญ

  • ความผูกพันกับผู้กู้: ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้และ/หรือความมั่นคงของแพลตฟอร์ม
  • สภาพคล่อง: แตกต่างกันไปตามแพลตฟอร์ม บางแห่งสามารถถอนได้ทันที บางแห่งกำหนดระยะเวลาฝาก

เปรียบเทียบ Staking และ Lending

คุณสมบัติ

Staking (การวางเดิมพัน)

Lending (การให้กู้ยืม)

บทบาทของคุณ

ผู้ตรวจสอบ/ผู้รักษาความปลอดภัยเครือข่าย

ผู้ให้สภาพคล่อง/เจ้าหนี้

กลไกสร้างผลตอบแทน

รางวัลจากการยืนยันธุรกรรมของบล็อกเชน

ดอกเบี้ยที่จ่ายโดยผู้กู้ยืม

เทคโนโลยีหลัก

Proof-of-Stake (PoS) Consensus

สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) / ตัวกลาง

ความเสี่ยงหลัก

ความเสี่ยงด้านเทคนิค/เครือข่าย (Slashing) และราคาเหรียญผันผวน

ความเสี่ยงของคู่สัญญา (Counterparty Risk) และความเสี่ยงของสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract Risk)

สภาพคล่อง

ต่ำ เนื่องจากมีระยะเวลาล็อกเหรียญ (Unstaking Period)

สูง/ปานกลาง ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและแพลตฟอร์ม

ข้อควรระวัง

ไม่ว่าจะเป็น Staking หรือ Lending ก็ยังมีความเสี่ยงพื้นฐานของโลกคริปโตที่ต้องระวัง

  1. ความผันผวนของราคา (Price Volatility): หากราคาเหรียญตกลงอย่างรุนแรง ผลตอบแทนที่ได้รับ (ที่เป็นเหรียญ) อาจไม่มีมูลค่ามากพอที่จะชดเชยการขาดทุนจากเงินต้น
  2. ความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม (Platform/Smart Contract Risk): มีความเสี่ยงที่จะถูกแฮ็กหรือเกิดข้อผิดพลาดในสัญญาอัจฉริยะ โดยเฉพาะใน DeFi
  3. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk): กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับกิจกรรมเหล่านี้ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา